Category: business

  • Silicon Valley สุดมุ่งมั่น ลงทุนรวมเกิน ‘ล้านล้านUSD’ หวังเอาชนะตลาด AI ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์แน่ชัด

    Silicon Valley สุดมุ่งมั่น ลงทุนรวมเกิน ‘ล้านล้านUSD’ หวังเอาชนะตลาด AI ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์แน่ชัด

    ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังพลิกโฉมโลกด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ Silicon Valley ก็กำลังลงทุนอย่างเต็มที่ใน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่

    ทั้งนี้เพราะชาว Silicon Valley เชื่อว่า AI จะก่อให้เกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยการลงทุนใน AI ไม่เพียงแค่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

    เหล่าผู้แข่งขันในตลาดต้องทำให้ AI ซับซ้อนและใหญ่ขึ้น ผลที่ตามมาคือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่ต้องใช้เงินมากมายไม่แพ้งบประมาณที่ใช้ส่งคนไปดวงจันทร์เลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแนวคิดเหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลผลิตที่จะเกิดขึ้น แอปพลิเคชันปัจจุบันของ AI อาจเพิ่มประสิทธิภาพในบางงาน แต่ยังไม่ถึงขั้นสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ๆขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง การลงทุนยังขาดหลักฐานสำหรับผลตอบแทนทางการเงินที่ชัดเจน และถามว่าจะทำอย่างไรถ้าลงทุนไปแล้วไม่คืนทุน??

    ศรัทธาอันแน่วแน่ หรือเป็นเพียงฝันหวาน?

    ถึงโลกจะเปลี่ยนไปด้วยการใช้ AI แต่การจะไปถึงจุดนั้นยังต้องผ่านเส้นทางที่ยาวไกล เทคโนโลยี AI ยังต้องปรับปรุงและพัฒนา และแม้ว่า AI จะเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว นักลงทุนและผู้พัฒนายังคงต้องการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งห่างในสนามการแข่งขัน

    ด้วยความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่และความกลัวที่จะพลาดโอกาส วิสัยทัศน์ของผู้นำด้านเทคโนโลยีจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ในท้ายที่สุดแล้วอาจเพียงแค่ต้องรอคอยเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การลงทุนมหาศาลในสถาปัตยกรรม AI ของ Silicon Valley แน่นอนว่าช่วยให้ AI มีต้นทุนที่ต่ำลงในอนาคตค่อนข้างแน่ชัด

  • Tesla: มากกว่าแค่บริษัทผลิตรถยนต์

    Tesla: มากกว่าแค่บริษัทผลิตรถยนต์

    เมื่อนึกถึง Tesla คุณอาจจะนึกถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ดูทันสมัย แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง คุณจะพบว่าบริษัทมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ของ Elon Musk นั้นเป็นมากกว่าแค่ผู้ผลิตรถยนต์

    แม้ว่ายอดขายรถของ Tesla จะน่าประทับใจ—มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว—และต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นอยู่นอกเหนือจากส่วนธุรกิจยานยนต์ รายได้ส่วนสำคัญของ Tesla มาจากการขายเครดิตคาร์บอนให้ผู้ผลิตรายอื่น และธุรกิจแบตเตอรี่และแผงโซลาร์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    น่าสนใจที่ว่ามูลค่าตลาดอันมหาศาลของ Tesla ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยยอดขายรถเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะมีการคาดการณ์ในแง่ดีว่าจะขายรถได้ 6 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 ธุรกิจยานยนต์ก็ยังคิดเป็นเพียงหนึ่งในสามของมูลค่าตลาดปัจจุบันของ Tesla

    แล้วมูลค่าที่เหลือของ Tesla มาจากไหน? มันคือการเดิมพันกับอนาคต—ถ้าใครได้ติดตาม จะเห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Musk เกี่ยวกับรถแท็กซี่ไร้คนขับ, หุ่นยนต์มนุษย์อย่าง Optimus, และนวัตกรรมอื่นๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น

    Tesla มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้ามากกว่า 70 เท่า (Forward P/E x70) เทียบกับ 5-6 เท่าสำหรับผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถของ Musk ที่จะสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกได้

    โดยแก่นแล้ว Tesla ไม่ได้แข่งขันกับบริษัทรถยนต์อื่นๆ เท่านั้น แต่กำลังวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและ AI Musk ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่กำลังขายอนาคต และจนถึงตอนนี้ นักลงทุนก็กำลังเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นี้ แม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มีอยู่

    ขณะที่ Tesla ยังคงพัฒนาต่อไป เป็นที่ชัดเจนว่าความสำเร็จของบริษัทจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายรถเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้แนวคิดที่ทะเยอทะยานของ Musk เป็นจริง

  • การลงทุนของ big tech ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ตอบสนองความต้องการ AI, data center ที่พุ่งแรง

    การลงทุนของ big tech ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ตอบสนองความต้องการ AI, data center ที่พุ่งแรง

    ความต้องการข้อมูลที่ไม่มีที่สิ้นสุดของโลกและการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ได้สร้างแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อระบบไฟฟ้าทั่วโลก

    ในขณะที่อาคารและยานพาหนะยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง International Energy Agency คาดการณ์ว่าการบริโภคไฟฟ้าทั้งหมดของ data center อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2026 โดยมีปริมาณมากกว่า 1,000 เทราวัตต์ชั่วโมง

    ความต้องไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นนี้ได้จุดประเด็นคำถามสำคัญ: บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานของตนในขณะที่บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของโลกได้อย่างไร?

    ในความพยายามที่จะแก้ไขความท้าทายนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่สองแห่ง คือ Amazon และ Google ได้ก้าวเข้าสู่โลกของพลังงานนิวเคลียร์

    Amazon ได้ประกาศการลงทุนในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Google ประกาศในลักษณะเดียวกัน ทั้งสองบริษัทตระหนักถึงศักยภาพของพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้าที่ปราศจากคาร์บอนและตอบสนองความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของ data center

    การขยับกลยุทธ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการขยับขยายหาแหล่งพลังงานที่หลากหลายเพื่อขับเคลื่อน digital transformation

    การลงทุนในเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ซึ่งสามารถผลิตพลังงานได้ถึงหนึ่งในสามของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบดั้งเดิม ถือเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น ผู้พัฒนาอ้างว่าสามารถประกอบเครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้ได้เร็วขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำกว่า ทำให้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังมองหาแหล่งพลังงานที่เชื่อถือได้และปราศจากคาร์บอน

  • ในปี 2006 พนักงานโคคา-โคลา เสนอขายความลับบริษัท ให้กับเป๊ปซี่ ในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์

    ในปี 2006 พนักงานโคคา-โคลา เสนอขายความลับบริษัท ให้กับเป๊ปซี่ ในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์

    พนักงานของโคคา-โคลาเสนอที่จะขายความลับของบริษัทให้กับเป๊ปซี่ในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์ เป๊ปซี่จึงได้แจ้งโคคา-โคลาเกี่ยวกับเรื่องนี้

    พนักงานระดับสูงของโคคา-โคลา ได้แก่ โจยา วิลเลียมส์ และผู้สมรู้ร่วมคิดของเธอ อิบราฮิม ดิมสัน มีการเข้าถึงเอกสารมากมายเกี่ยวกับเครื่องดื่มของโคคา-โคลาและโครงการในอนาคต วิลเลียมส์และดิมสันจึงโทรหาเป๊ปซี่และเสนอขายความลับของผู้บริหารทั้งหมดในราคา 1.5 ล้านดอลลาร์

    น่าเสียดายสำหรับวิลเลียมส์และดิมสัน ผู้บริหารของเป๊ปซี่ได้รายงานเรื่องนี้ไปยังโคคา-โคลาและเอฟบีไอ เอฟบีไอจึงได้ส่งสายลับปลอมตัวเป็นผู้บริหารของเป๊ปซี่ สายลับของเอฟบีไอได้ล่อวิลเลียมส์และดิมสันด้วยเงินส่วนหนึ่งจาก 1.5 ล้านดอลลาร์ที่เรียกร้องและบังคับให้พวกเขามอบเอกสารและสินค้าทดลอง

    สุดท้ายวิลเลียมส์และดิมสันถูกจับได้

    เอฟบีไอได้นำหลักฐานการชำระเงินและเอกสารลับของกลางไปยังศาลเป็นหลักฐานที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ ในปี 2007 วิลเลียมส์ถูกตัดสินจำคุก 8 ปี และดิมสัน 5 ปี

    โฆษกของเป๊ปซี่กล่าวว่า “เราทำในสิ่งที่บริษัทที่มีความรับผิดชอบควรทำ การแข่งขันอาจจะดุเดือด แต่ก็ต้องยุติธรรมและถูกฎหมาย

  • จาก ‘การกุศล’ สู่ ‘ความทะเยอทะยาน’ : เผยวิวัฒนาการของ OpenAI

    จาก ‘การกุศล’ สู่ ‘ความทะเยอทะยาน’ : เผยวิวัฒนาการของ OpenAI

    [จุดเริ่มต้นที่ถ่อมตัวในรากฐานขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร]

    ในปี 2016 OpenAI ได้เริ่มต้นการเดินทางอันทะเยอทะยานด้วยการจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในรัฐเดลาแวร์ ภารกิจหลักของบริษัท คือ “พัฒนา AI ในแนวทางที่มีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากที่สุด” ซึ่งเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเสียสละเพื่อส่วนรวมมากกว่าการแสวงหาผลกำไร

    ด้วยเงินกู้ $10 ล้านจากหนึ่งในผู้ก่อตั้งคือ Sam Altman OpenAI ได้ขอให้หน่วยงานสรรพากรรับรองสถานะการยกเว้นภาษี ในขณะนั้น องค์กรมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน: ไม่เน้นเชิงพาณิชย์และเผยแพร่งานวิจัยอย่างเสรีเพื่อประโยชน์สาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว OpenAI ต้องเผชิญกับความเป็นจริงของการแข่งขันในตลาด AI ที่กำลังเติบโต

    ในตอนแรก องค์กรไม่ได้คาดการณ์ว่าจะเข้าร่วมกิจการร่วมค้ากับหน่วยงานแสวงหาผลกำไรหรือมีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน OpenAI ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนภารกิจให้สอดคล้องกับความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่ของ AI ส่งผลให้มีมูลค่าสูงถึง $1.57 แสนล้านดอลลาร์

    [การเปลี่ยนแปลงสู่ผลประโยชน์เชิงพาณิชย์]

    การเปลี่ยนแปลงของ OpenAI จากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรไปสู่บริษัทที่มีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับภารกิจการกุศล ถึงแม้ว่าองค์กรจะระบุว่าตั้งใจจะมุ่งเน้นการวิจัยต่อไป แต่การร่วมมือเชิงพาณิชย์ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์

    Liz Bourgeois โฆษกของ OpenAI เน้นย้ำว่านวัตกรรมอย่าง ChatGPT ต้องทำงานควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์เพื่อสร้างผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง แต่หลายคนยังคงสงสัยว่าจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรและจุดมุ่งหมายได้หรือไม่

    [แล้วด้านกฎหมาย-กติตาต่างๆล่ะ?]

    ในขณะที่ OpenAI ยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป เรื่อง’กรอบกฎหมายและกฎระเบียบ’กลายเป็นจุดสนใจ การสมัครเข้า IRS ของ OpenAI เน้นย้ำถึงความตั้งใจที่จะรักษาความโปร่งใสและสร้างความมุ่งมั่นเพื่อประโยชน์สาธารณะ อย่างไรก็ตาม พัฒนาการล่าสุดบ่งชี้ถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาต่างๆ

    ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงทนายความด้านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรและผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี กำลังติดตามกลยุทธ์ของ OpenAI อย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนแปลงใดๆไปสู่กรอบการแสวงหาผลกำไรอาจจำเป็นต้องมีกระบวนการที่ละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามข้อบังคับ

    ในท้ายที่สุด การสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตที่ทะเยอทะยานและรากฐานการกุศลจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ OpenAI ในอนาคต