Month: October 2024

  • Silicon Valley สุดมุ่งมั่น ลงทุนรวมเกิน ‘ล้านล้านUSD’ หวังเอาชนะตลาด AI ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์แน่ชัด

    Silicon Valley สุดมุ่งมั่น ลงทุนรวมเกิน ‘ล้านล้านUSD’ หวังเอาชนะตลาด AI ที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์แน่ชัด

    ในขณะที่เทคโนโลยีกำลังพลิกโฉมโลกด้วยนวัตกรรมต่าง ๆ Silicon Valley ก็กำลังลงทุนอย่างเต็มที่ใน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่

    ทั้งนี้เพราะชาว Silicon Valley เชื่อว่า AI จะก่อให้เกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยการลงทุนใน AI ไม่เพียงแค่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่ยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

    เหล่าผู้แข่งขันในตลาดต้องทำให้ AI ซับซ้อนและใหญ่ขึ้น ผลที่ตามมาคือ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่ต้องใช้เงินมากมายไม่แพ้งบประมาณที่ใช้ส่งคนไปดวงจันทร์เลยทีเดียว

    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแนวคิดเหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลผลิตที่จะเกิดขึ้น แอปพลิเคชันปัจจุบันของ AI อาจเพิ่มประสิทธิภาพในบางงาน แต่ยังไม่ถึงขั้นสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ๆขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง การลงทุนยังขาดหลักฐานสำหรับผลตอบแทนทางการเงินที่ชัดเจน และถามว่าจะทำอย่างไรถ้าลงทุนไปแล้วไม่คืนทุน??

    ศรัทธาอันแน่วแน่ หรือเป็นเพียงฝันหวาน?

    ถึงโลกจะเปลี่ยนไปด้วยการใช้ AI แต่การจะไปถึงจุดนั้นยังต้องผ่านเส้นทางที่ยาวไกล เทคโนโลยี AI ยังต้องปรับปรุงและพัฒนา และแม้ว่า AI จะเป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็ว นักลงทุนและผู้พัฒนายังคงต้องการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งห่างในสนามการแข่งขัน

    ด้วยความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่และความกลัวที่จะพลาดโอกาส วิสัยทัศน์ของผู้นำด้านเทคโนโลยีจึงยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถึงแม้ในท้ายที่สุดแล้วอาจเพียงแค่ต้องรอคอยเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การลงทุนมหาศาลในสถาปัตยกรรม AI ของ Silicon Valley แน่นอนว่าช่วยให้ AI มีต้นทุนที่ต่ำลงในอนาคตค่อนข้างแน่ชัด

  • Tesla: มากกว่าแค่บริษัทผลิตรถยนต์

    Tesla: มากกว่าแค่บริษัทผลิตรถยนต์

    เมื่อนึกถึง Tesla คุณอาจจะนึกถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ดูทันสมัย แต่หากพิจารณาให้ลึกซึ้ง คุณจะพบว่าบริษัทมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ของ Elon Musk นั้นเป็นมากกว่าแค่ผู้ผลิตรถยนต์

    แม้ว่ายอดขายรถของ Tesla จะน่าประทับใจ—มูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว—และต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่มูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้นอยู่นอกเหนือจากส่วนธุรกิจยานยนต์ รายได้ส่วนสำคัญของ Tesla มาจากการขายเครดิตคาร์บอนให้ผู้ผลิตรายอื่น และธุรกิจแบตเตอรี่และแผงโซลาร์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    น่าสนใจที่ว่ามูลค่าตลาดอันมหาศาลของ Tesla ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยยอดขายรถเพียงอย่างเดียว ถึงแม้จะมีการคาดการณ์ในแง่ดีว่าจะขายรถได้ 6 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 ธุรกิจยานยนต์ก็ยังคิดเป็นเพียงหนึ่งในสามของมูลค่าตลาดปัจจุบันของ Tesla

    แล้วมูลค่าที่เหลือของ Tesla มาจากไหน? มันคือการเดิมพันกับอนาคต—ถ้าใครได้ติดตาม จะเห็นถึงวิสัยทัศน์ของ Musk เกี่ยวกับรถแท็กซี่ไร้คนขับ, หุ่นยนต์มนุษย์อย่าง Optimus, และนวัตกรรมอื่นๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น

    Tesla มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้ามากกว่า 70 เท่า (Forward P/E x70) เทียบกับ 5-6 เท่าสำหรับผู้ผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถของ Musk ที่จะสร้างเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกได้

    โดยแก่นแล้ว Tesla ไม่ได้แข่งขันกับบริษัทรถยนต์อื่นๆ เท่านั้น แต่กำลังวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและ AI Musk ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่กำลังขายอนาคต และจนถึงตอนนี้ นักลงทุนก็กำลังเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์นี้ แม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มีอยู่

    ขณะที่ Tesla ยังคงพัฒนาต่อไป เป็นที่ชัดเจนว่าความสำเร็จของบริษัทจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายรถเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำให้แนวคิดที่ทะเยอทะยานของ Musk เป็นจริง

  • อธิบายพื้นฐาน Bitcoin แบบเด็ก 12 ขวบก็เข้าใจได้

    อธิบายพื้นฐาน Bitcoin แบบเด็ก 12 ขวบก็เข้าใจได้

    ลองจินตนาการว่าคุณและเพื่อนๆ มีสมุดบันทึกพิเศษที่ใช้จดบันทึกว่าใครเป็นเจ้าของของเล่นชิ้นไหน สมุดบันทึกนี้ถูกแชร์กับทุกคน และทุกครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนของเล่น ก็จะถูกจดลงในสมุด สมุดบันทึกนี้เปรียบเหมือน blockchain ใน Bitcoin

    Bitcoin เป็นเหมือนเงินในรูปแบบดิจิทัล แต่แทนที่จะถูกพิมพ์โดยรัฐบาลเหมือนเงินทั่วไป Bitcoin ใหม่ๆ ถูกสร้างขึ้นจากการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง กระบวนการนี้เรียกว่าการขุด (mining) คิดเหมือน gold rush ในยุคดิจิทัล – คนขุดคนแรกที่แก้โจทย์ได้จะได้รับรางวัล (Bitcoin ใหม่)

    แต่ละรายการในสมุดบันทึก (blockchain) เรียกว่าบล็อก และแต่ละบล็อกจะมีธุรกรรมหลายรายการ ธุรกรรมก็คือการที่ใครสักคนส่ง Bitcoin ให้คนอื่น เนื่องจากทุกคนมีสำเนาของสมุดบันทึกนี้ ทุกคนจึงรู้ว่าใครมี Bitcoin เท่าไหร่และใครส่งให้ใคร

    เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครโกงและเปลี่ยนแปลงสมุดบันทึก แต่ละบล็อกจะเชื่อมโยงกับบล็อกก่อนหน้าโดยใช้การเข้ารหัส (รหัสลับ) ทำให้ยากมากที่จะแก้ไขธุรกรรมในอดีต นี่คือสิ่งที่ทำให้ Bitcoin ปลอดภัย

    จะมี Bitcoin จำนวนจำกัดที่จะมีอยู่ (ประมาณ 21 ล้าน) ทำให้มันเหมือนกับของสะสมที่หายาก ความหายากนี้เป็นสิ่งที่ทำให้มูลค่าของมันขึ้นหรือลง

    นี่คือการสรุปแนวคิดสำคัญแบบง่ายๆ:

    Bitcoin: สกุลเงินดิจิทัล

    Blockchain: บันทึกสาธารณะที่ใช้ร่วมกันของธุรกรรม Bitcoin ทั้งหมด คิดว่าเป็นเหมือนสมุดบัญชีดิจิทัลที่ปลอดภัยมาก

    Mining: การแก้โจทย์คณิตศาสตร์เพื่อเพิ่มบล็อกใหม่ลงใน blockchain และได้รับ Bitcoin เป็นรางวัล

    Transaction: การส่ง Bitcoin จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง

    Cryptography: รหัสลับที่ทำให้ blockchain ปลอดภัยและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข

    มันค่อนข้างซับซ้อน แต่แนวคิดพื้นฐานก็คือ Bitcoin เป็นวิธีการส่งและรับเงินแบบดิจิทัลและกระจายศูนย์ ปลอดภัยและโปร่งใสสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง เหมือนกับมีสกุลเงินดิจิทัลที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยธนาคารหรือรัฐบาลใดๆ

  • หุ้น Value VS. หุ้น Growth – ลงทุนแบบไหนดี?

    หุ้น Value VS. หุ้น Growth – ลงทุนแบบไหนดี?

    หุ้น Value vs. Growth: ภาพรวม

    • หุ้น Value: บริษัทที่ ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น มักเป็นบริษัท ขนาดใหญ่และมั่นคง
    • หุ้น Growth: บริษัทที่มี ศักยภาพสูงที่จะทำผลงานดีกว่าตลาด มักเป็นบริษัท ใหม่และเล็กกว่า

    ความแตกต่างที่สำคัญ

    คุณลักษณะ หุ้น Value / หุ้น Growth

    • ราคา: ต่ำกว่ามูลค่า / สูงกว่ามูลค่า
    • กำไร: ค่า P/E ต่ำ / การเติบโตของกำไรสูง
    • ความเสี่ยง: ค่อนข้างมั่นคง / ความเสี่ยงสูง ผันผวนมากกว่า
    • เงินปันผล: ผลตอบแทนเงินปันผลสูง / ผลตอบแทนเงินปันผลต่ำหรือไม่มี

    ผลการดำเนินงาน

    • Value: ในอดีตทำผลงานดีกว่า Growth ในระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจถดถอย มักจ่ายเงินปันผล
    • Growth: ทำผลงานดีกว่า Value ในทศวรรษที่ผ่านมา นำกำไรกลับไปลงทุนเพื่อการขยายตัว มีโอกาสได้ผลตอบแทนและความเสี่ยงสูงกว่า

    ตัวอย่าง

    ข้อมูลตัวอย่างอัปเดตถึงปี 2023

    Value:

    • Berkshire Hathaway (BRK.A/BRK.B)
    • Deere & Company (DE)
    • Cigna Group (CI)
    • Proctor & Gamble (PG)
    • JPMorgan Chase (JPM)

    Growth:

    • Taiwan Semiconductor (TSM)
    • Netflix (NFLX)
    • Amazon (AMZN)
    • NVIDIA (NVDA)
    • Meta Platforms (META)
    • Microsoft (MSFT)
    • Tesla (TSLA)

    บทสรุป

    • การเลือกขึ้นอยู่กับ:
      • ความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน
      • เป้าหมายการลงทุน
      • ระยะเวลาการลงทุน
      • Value ทำผลงานระยะสั้นดีกว่าในตลาดขาลงและช่วงเศรษฐกิจถดถอย
      • Growth โดดเด่นระยะสั้นในตลาดขาขึ้นและช่วงเศรษฐกิจขยายตัว
  • การ comeback ของ Intel อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้

    การ comeback ของ Intel อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้

    Intel กำลังเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงในหมู่นักลงทุน โดยหลายคนจับตาดูรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2024 แม้ความคาดหวังจะต่ำ แต่นี่อาจเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับการ comeback ที่น่าประหลาดใจ นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้:

    การปรับโครงสร้างเพื่อการฟื้นฟู

    • Intel กำลังอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายลดต้นทุน 1 หมื่นล้านดอลลาร์
    • การปรับโครงสร้างนี้อาจส่งผลต่อการเติบโตในระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับบริษัทที่กระชับและมีจุดมุ่งเน้นมากขึ้น
    • การขาย Altera หรือ Mobileye (บริษัท/แบรนด์ในเครือ) อาจนำเงินหลายพันล้านเข้าสู่ Intel

    โอกาสและความท้าทาย

    • Intel ล้าหลังคู่แข่งอย่าง AMD และ Nvidia โดยเฉพาะในด้าน AI
    • อย่างไรก็ตาม หาก AI accelerator อย่าง Gaudi 3 ของ Intel ได้รับความนิยม อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
    • ประมาณการ EPS ที่ต่ำทำให้ Intel มีมาตรฐานต่ำที่ต้อง beat ซึ่งทำให้มีโอกาสสำเร็จสูง

    การประเมินมูลค่าและตำแหน่งทางการตลาด

    • อัตราส่วนราคาต่อกำไรปัจจุบันของ Intel ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง AMD และ Nvidia มาก
    • ในขณะที่ Nvidia ประสบความสำเร็จในตลาด AI GPU Intel มีโอกาสที่จะกลับมาแข่งขันได้ด้วยการปรับโครงสร้างและขายสินทรัพย์

    ความเสี่ยงที่ควรพิจารณา

    • การขาดทุนเงินสดอย่างต่อเนื่องอาจทำให้นักลงทุนผิดหวังหาก Intel ไม่วางแผนที่ชัดเจนสู่การทำกำไร
    • ความล้มเหลวในการตาม AMD และ Nvidia ให้ทันในด้าน AI อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติม
    • การขาดแผนที่เป็นรูปธรรมในการ lean บริษัทอาจทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ในอนาคต

    • การขาย Altera หรือ Mobileye สามารถปลดปล่อยทรัพยากรที่ผูกมัดไว้ ทำให้ Intel มุ่งเน้นที่ด้าน Data Center หลัก
    • โปรเซสเซอร์ Xeon 6 และ accelerator Gaudi 3 แสดงถึงความมุ่งมั่นของ Intel ในการพัฒนา product line สำหรับยุคใหม่

    Intel อยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาสพลิกฟื้น โดยการขายสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์อาจเป็นการปูทาง ความคาดหวังที่ลดลงสำหรับไตรมาส 3 ควบคู่กับความพยายามในการปรับโครงสร้าง อาจให้เส้นทางที่ชัดเจนขึ้นสู่การเติบโตในตลาด Data Center

    หาก Intel สามารถปรับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและใช้ประโยชน์จากตลาด AI ด้วย Gaudi 3 บริษัทอาจกลับมาแข็งแกร่งขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น

    นักลงทุนควรจับตาดูรายงานผลประกอบการที่กำลังจะมาถึง รวมถึงการประกาศเชิงกลยุทธ์ใดๆ ที่อาจส่งผลต่อเส้นทางในอนาคตของบริษัทให้ดี

  • Google ลงทุน solar cell ในรัฐ Texas เป็นหนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดใน U.S.

    Google ลงทุน solar cell ในรัฐ Texas เป็นหนึ่งในโครงการที่ใหญ่ที่สุดใน U.S.

    หนึ่งในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เปิดตัวในรัฐ Texas โดยได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งใหญ่ที่สุดของ Google

    ผู้บริหารของ Google Ben Sloss เน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของบริษัทในการจัดหาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ปราศจากคาร์บอน ควบคู่ไปกับการเติบโตในการดำเนินงาน โดยมีแผนที่จะลงทุน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในพลังงานสะอาดทั่วโลกภายในปี 2040

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ Jennifer Granholm ชื่นชมโครงการนี้ว่าเป็นตัวอย่างสำคัญของความพยายามของรัฐบาลในการดึงดูดการผลิตพลังงานในสหรัฐฯ

    SB Energy ได้สร้าง Orion Solar Belt ใน Buckholts, Texas ซึ่งประกอบด้วยฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์สามแห่งที่จะผลิตพลังงานสะอาด 875 เมกะวัตต์ (ซึ่งจะส่งพลังงานไปให้ Google ใช้ใน data center) ตัวเลขผลผลิตพลังงานนี้สามารถเทียบเท่ากับการสร้างโรงงานนิวเคลียร์ๆได้เลย

    Google ได้ทำสัญญาสำหรับโครงการพลังงานลมและแสงอาทิตย์ใหม่กว่า 2,800 เมกะวัตต์ในรัฐ Texas ซึ่งเกินความต้องการใช้พลังงานในการดำเนินงานของบริษัท ณ ปัจจุบันไปแล้วด้วยซ้ำ

    ความต้องการใช้ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก data center โดย International Energy Agency คาดการณ์ว่าการบริโภคอาจสูงถึงกว่า 1,000 เทราวัตต์-ชั่วโมงภายในปี 2026

  • อาชีพที่จะมี demand สูงในปี 2030: แนวโน้มโอกาสใหม่ๆจะไปอยู่ตรงไหนบ้าง

    อาชีพที่จะมี demand สูงในปี 2030: แนวโน้มโอกาสใหม่ๆจะไปอยู่ตรงไหนบ้าง

    อาชีพที่จะมี demand สูงภายในปี 2030 ครอบคลุมหลากหลายสาขาและความเชี่ยวชาญ จะมีอาชีพไหนบ้างที่แนวโน้มคาดว่าจะเติบโต-ยอดนิยมในทศวรรษหน้า:

    Data Scientist

    ‘นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล’ ทำหน้าที่เก็บรวบรวม วิเคราะห์ และตีความข้อมูลที่ซับซ้อนเพื่อหาข้อสรุปเชิงลึกและสร้าง decision (การตัดสินใจ) โดยใช้ข้อมูล

    เมื่อปริมาณข้อมูลที่ถูกสร้าง/เก็บได้เพิ่มมากขึ้น บริษัทต่างๆ จะต้องการ Data Scientist เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลทั้งหมดและขับเคลื่อนการตัดสินใจทางธุรกิจ

    ความต้องการ Data Scientist คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ การเงิน และอีคอมเมิร์ซยังคงพึ่งพา big data เพื่อพัฒนาต่อไป

    Blockchain Developer

    ‘นักพัฒนาบล็อกเชน’ ออกแบบและใช้ระบบ ‘กระจายศูนย์’ (decentralized) ที่ปลอดภัยสำหรับการจัดเก็บและถ่ายโอนข้อมูล

    เมื่อเทคโนโลยีบล็อกเชนได้รับความนิยมมากขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน, logistics/supply chain, และ cybersecurity ความต้องการนักพัฒนาบล็อกเชนจะเพิ่มขึ้น ความต้องการการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสจะผลักดันความต้องการนักพัฒนาบล็อกเชน

    Full Stack Software Developer

    ‘นักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Full Stack’ ออกแบบและพัฒนาทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน (front-end & back-end) ของแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์

    ด้วยการเติบโตของ digital transformation บริษัทต่างๆ จะต้องการนักพัฒนา Full Stack ที่มีทักษะเพื่อสร้างและดูแล online identity ของแบรนด์

    ความต้องการแอปพลิเคชันมือถือและเว็บที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ จะผลักดันความต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ Full Stack

    Artificial Intelligence (AI) & Machine Learning Experts

    ‘ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning’ ออกแบบและพัฒนาระบบอัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้

    เมื่อ AI และ Machine Learning ยังคงเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ การเงิน และการขนส่ง ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้จะเพิ่มขึ้น

    ความต้องการด้านการทำงานอัตโนมัติ (automation) การวิเคราะห์เชิงทำนาย (predictive analysis) และประสบการณ์ส่วนบุคคล (individualized experiences) ที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning

    Special Effects Artists and Animators

    ‘ศิลปิน Special Effects และนักสร้าง Animation’ ทำหน้าที่สร้างเอฟเฟกต์ภาพสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์ และวิดีโอเกม

    ด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรมความบันเทิงและความต้องการนวัตกรรมความบันเทิงแบบสมจริงที่เพิ่มขึ้น ศิลปินเอฟเฟกต์พิเศษและนักสร้างภาพเคลื่อนไหวจะเป็นที่ต้องการสูง

    การเติบโตของบริการสตรีมมิ่งและอุตสาหกรรมเกมจะผลักดันความต้องการศิลปินเอฟเฟกต์พิเศษและนักสร้างภาพเคลื่อนไหวที่มีทักษะ

    Producers and Directors ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์

    ‘โปรดิวเซอร์และผู้กำกับ’ ทำหน้าที่ดูแลการผลิตภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และเนื้อหารูปแบบอื่นๆ

    ด้วยการเติบโตของบริการสตรีมมิ่งและความต้องการ original content ที่เพิ่มขึ้น โปรดิวเซอร์และผู้กำกับจะเป็นที่ต้องการสูง

    รวมถึงการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มและรูปแบบใหม่ๆ เช่น Virtual Reality และ Augmented Reality จะสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับโปรดิวเซอร์และผู้กำกับ

    Organ Creators

    ‘ผู้สร้างอวัยวะ’ ออกแบบและสร้างอวัยวะสำหรับการปลูกถ่ายและการวิจัย ด้วยความต้องการการปลูกถ่ายอวัยวะที่เพิ่มขึ้นและความต้องการยาเฉพาะบุคคลที่เพิ่มขึ้น ผู้สร้างอวัยวะจะเป็นที่ต้องการสูง


    เส้นทางอาชีพเหล่านี้คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและเสนอโอกาสที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังสำรวจแนวทางอาชีพใหม่ๆ เมื่อเทคโนโลยีในทุกอุตสาหกรรมยังคงก้าวหน้าอย่างไม่หยุด การติดตามแนวโน้มเหล่านี้สามารถช่วยให้เราปรับทักษะและความเชี่ยวชาญของตนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในปี 2030 (และอนาคตต่อไป)

    การเปิดกว้างต่อนวัตกรรมและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงของอาชีพในอนาคต

  • อนาคตใหม่อันสดใสของ Amazon และ Google

    อนาคตใหม่อันสดใสของ Amazon และ Google

    Amazon (AMZN) ไม่ได้เป็นเพียงยักษ์ใหญ่ด้าน e-commerce เท่านั้น

    และ Google (GOOGL) ไม่ได้เป็นเพียงยักษ์ใหญ่ด้าน search engine เท่านั้น

    แต่ยังเป็นผู้นำด้าน cloud computing ด้วย

    ในตอนนี้โลกธุรกิจกำลังเกิด “Great Migration” (การอพยพครั้งใหญ่) – ธุรกิจต่างๆ กำลังย้ายข้อมูลและการประมวลผลไปยังบริการคลาวด์อย่าง AWS (Amazon Web Services) และ GCP (Google Cloud Platform)

    นี่ไม่ใช่เรื่องของการขยายตัวของ e-commerce (ของ AMZN) หรือ search engine (ของ GOOGL) แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการ scale, การประหยัดต้นทุน, และการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อแข่งขันในโลกธุรกิจยุคใหม่

    ตอนนี้ธุรกิจใน sector ต่างๆเปรียบเสมือน ‘นักปั่นจักรยาน’ ที่มุ่งเน้นฝึกฝนการปั่นจักรยานให้เก่งที่สุดเท่านั้น แต่พวกเขาต้องไปใช้ยิมของ AWS (Amazon Web Services) และ GCP (Google Cloud Platform) ที่มีเครื่องมือฝึกฝน-สร้างความฟิตให้พร้อม

    แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการให้ผู้ให้บริการคลาวด์ดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีเป็นส่วนสำคัญในการช่วยทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในโลกดิจิทัลได้

    “Great Migration” กำลังผลักดันการเติบโตอย่างมหาศาล โดยตลาด cloud analytics คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 4.199 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 (อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 28.5%)

    อนาคตของ AMZN และ GOOGL ไม่ได้อยู่ที่บริการปัจจุบัน แต่อยู่ที่การครองตลาดคลาวด์ AI และระบบอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้และมูลค่าหุ้น

    การลงทุนในบริษัทเหล่านี้คือการเดิมพันกับ transition แห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่นี้

  • คาดการณ์อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2025-2030

    คาดการณ์อุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตสูงในปี 2025-2030

    คาดว่าช่วงระหว่างปี 2025 ถึง 2030 จะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

    นี่คือการวิเคราะห์อุตสาหกรรมสำคัญที่กำลังมาแรงซึ่งมีแนวโน้มที่จะกำหนดโอกาสการลงทุนในช่วงเวลานี้:

    อุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะเติบโต

    ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI)

    ภาพรวม: AI จะกลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยมีการใช้งานในด้านระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์คาดการณ์จากข้อมูล และทำหน้าที่ช่วยบริการลูกค้าให้ประสบการณ์ราบรื่นขึ้น

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับเทคโนโลยี machine learning การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language) และ ‘computer vision’

    โอกาสการลงทุน: บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ AI เช่น NVIDIA และ AMD คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้น

    พลังงานหมุนเวียน Renewable Energy

    ภาพรวม: การเปลี่ยนไปสู่แหล่งพลังงานที่ยั่งยืน (sustainable energy) จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: นโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ ‘พลังงานอิสระ’ จะกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และไฮโดรเจน

    โอกาสการลงทุน: คาดว่าโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจมีขนาดตลาดถึง 6.297 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    เทคโนโลยีชีวภาพ Biotechnology

    ภาพรวม: คาดว่าจะเกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วในเทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพและการเกษตร

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: ความก้าวหน้าในการดีดแปลงยีนและชีววิทยาระดับโมเลกุลจะปฏิวัติการรักษาโรค และการผลิตอาหาร

    โอกาสการลงทุน: คาดว่าบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี gene therapy และอาหารที่เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการจะเห็นการเติบโตอย่างมาก

    ความปลอดภัยทางไซเบอร์ Cybersecurity

    ภาพรวม: เมื่อ digital transformation เร่งตัวขึ้น ความต้องการโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้น

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับ 5G และอุปกรณ์ IoT จะผลักดันความต้องการโซลูชันด้านความปลอดภัย

    โอกาสการลงทุน: คาดว่าตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์จะเติบโตต่อปี CAGR 36.8% แตะระดับ 2.59 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    โลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซ E-commerce Logistics

    ภาพรวม: ภาคโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซพร้อมสำหรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: นวัตกรรมใน AI และ big data จะเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานสายนี้

    โอกาสการลงทุน: ตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซอาจแตะระดับ 8.19 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ทำให้เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน

    เทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพ Healthcare Technology

    ภาพรวม: ภาคการดูแลสุขภาพจะนำการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (AI – predictive analysis) และโซลูชันการแพทย์ทางไกล (telehealth) มาใช้มากขึ้น

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: ประชากรสูงอายุและต้นทุนในการดูแลประชากรกลุ่มนี้ จะผลักดันความต้องการโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่เป็นนวัตกรรม

    โอกาสการลงทุน: บริษัทที่นำเสนอบริการการแพทย์ทางไกลและการวิเคราะห์สุขภาพเชิงคาดการณ์มีตำแหน่งที่ดีสำหรับการเติบโต (keyword: predictive analysis, telehealth)

    ยานยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicles (EVs)

    ภาพรวม: อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถสองล้อและสามล้อ

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: การสนับสนุนด้านกฎระเบียบ (regulations) และความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสำหรับทางเลือกการขนส่งที่ยั่งยืน

    โอกาสการลงทุน: การลงทุนในผู้ผลิต EV และบริษัทเทคโนโลยีแบตเตอรี่มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่สำคัญ (แต่อย่าลืมเลือกบริษัทกันดีๆนะครับ นับตั้งแต่ค่ายจีนกระโดดเข้ามาในตลาดนี้ แข่งขันกันดุเดือดมากๆ)

    การศึกษาดิจิทัล Digital Education

    ภาพรวม: คาดว่าตลาดการศึกษาดิจิทัลจะเติบโตอย่างมากเมื่อการเรียนรู้ online กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: การนำแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ในการศึกษาเพิ่มขึ้น

    โอกาสการลงทุน: ตลาดอาจขยายตัวจาก 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2019 เป็น 1.36 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    ตลาดสินค้าหรูหรา Luxury Goods Market

    ภาพรวม: ภาคสินค้าหรูหรากำลังพัฒนาโดยมุ่งเน้นความยั่งยืน (sustainability) และการปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า (customization, individualization)

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของผู้บริโภคที่มีต่อการบริโภคอย่างมีจริยธรรมจะผลักดันการเติบโตในทุกกลุ่มสินค้าหรูหรา

    โอกาสการลงทุน: คาดว่าภาคส่วนเช่น การท่องเที่ยวหรูหรา และแฟชั่นจะเห็นอัตราการเติบโตประจำปีที่คงที่ที่ 10% หรือมากกว่า จนถึงปี 2030

    โซลูชัน Fintech

    ภาพรวม: เทคโนโลยีทางการเงินยังคงมีการเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบธนาคารแบบดั้งเดิมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆมากมาย

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต: ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการชำระเงินดิจิทัล (digital payment) โซลูชันการให้กู้ยืมแบบใหม่ๆ (loan solutions) และแพลตฟอร์มการจัดการความมั่งคั่ง (wealth management)

    โอกาสการลงทุน: คาดว่าตลาด fintech-as-a-service จะแตะระดับ 6.816 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2028

    บทสรุป

    นักลงทุนที่มองไปยังอนาคตควรพิจารณาอุตสาหกรรมเหล่านี้เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญระหว่างปี 2025-2030 การมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนที่ขับเคลื่อนด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

    Citations:
    [1] https://www.pluralsight.com/resources/blog/tech-operations/tech-in-2030
    [2] https://www.reddit.com/r/Entrepreneur/comments/17tixxf/what_will_be_the_fastest_growing_industries_by/
    [3] https://luxonomy.net/the-future-of-luxury-consumption-predictions-by-sectors-2025-2030/
    [4] https://www.startus-insights.com/innovators-guide/global-megatrends-full-guide/
    [5] https://blog.marketresearch.com/10-global-industries-that-will-boom-in-the-next-5-years
    [6] https://ec.europa.eu/assets/epsc/pages/espas/chapter1.html
    [7] https://www.mckinsey.com/featured-insights/mckinsey-explainers/what-does-the-future-hold-for-india
    [8] https://www.robeco.com/en-latam/insights/2024/05/three-emerging-markets-trends-for-the-next-decade

  • อนาคตเศรษฐกิจอินเดีย: การเติบโตและการพัฒนา

    อนาคตเศรษฐกิจอินเดีย: การเติบโตและการพัฒนา

    อนาคตทางเศรษฐกิจของอินเดียดูแข็งแกร่ง โดยมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกภายในปี 2027

    การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ

    คาดว่าอินเดียจะรักษาอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยต่อปีประมาณ 6.7%-7.2% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP อาจแตะระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 และเกือบ 10 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

    ปัจจุบัน ณ ตอนนี้ อินเดียจัดอยู่ในอันดับที่ห้าของเศรษฐกิจโลก โดยมี real GDP ประมาณ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์

    การปฏิรูปโครงสร้างและการลงทุน

    รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ที่มุ่งปรับปรุงความสะดวกในการทำธุรกิจ ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชน การปฏิรูปเหล่านี้มีความสำคัญต่อการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งแตะระดับสูงสุดที่ 84.8 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2021-2022

    การลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ โดยคาดว่ารายจ่ายลงทุนในด้านนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในงบประมาณที่จะมาถึง

    ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตรายภาคส่วน

    คาดว่าผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในภาคส่วนต่างๆ เช่น การผลิต (มีอัตราการเติบโต 9.9%) และบริการจะเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม

    ภาคส่วนเกิดใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ก็พร้อมที่จะได้รับการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

    การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลกหลังการระบาด Covid เปิดโอกาสให้อินเดียเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสิ่งทอ (textiles) อิเล็กทรอนิกส์ (electronics) และเทคโนโลยีสีเขียว (green-tech)

    ความท้าทายในอนาคต

    • เงินเฟ้อและความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ: เงินเฟ้อ ราคาอาหารที่สูง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างความท้าทายต่อนโยบายการเงินและต้นทุนในการลงทุน การจัดการกับปัญหาเหล่านี้ผ่านนโยบายที่มีประสิทธิผลจะเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาแรงขับเคลื่อนการเติบโต
    • การว่างงานของเยาวชน: แม้ว่าการว่างงานในเมืองจะดีขึ้น แต่การว่างงานของเยาวชนโดยรวมยังคงเป็นที่น่ากังวล ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการใช้กลยุทธ์นโยบายในการสร้างงานเพิ่มเติม

    สรุป

    เศรษฐกิจของอินเดียมีลักษณะเด่น คือ แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งซึ่งขับเคลื่อนโดยการปฏิรูปโครงสร้าง การลงทุนที่สำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน และภาคเอกชนที่มี momentum

    ด้วยการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม อินเดียจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะผู้เล่นทางเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกในทศวรรษหน้า